Page 27 - วารสารวิชาการสิทธิมนุษยชน. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2561)
P. 27
26 วารสารวิชาการสิทธิมนุษยชน
วิสัยของประชาชนย่อมกระทำา (และควรจะต้องกระทำาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม) ดังนั้น การแสดงข้อเท็จจริงหรือ
ความคิดเห็นโดยสุจริตในประเด็นสาธารณะจึงไม่น่าจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยเข้าข้อยกเว้นตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (3)
อย่างไรก็ดี การดำาเนินคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทเพื่อปิดปากการแสดงความคิดเห็น
หรือการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะถูกนำามาใช้มาก เพราะการดำาเนินคดีอาญาไม่มีต้นทุนค่าธรรมเนียมศาล
และคดีอาญามีโทษจำาคุกซึ่งเป็นสิ่งบีบคั้นผู้ใช้สิทธิโดยสุจริตได้มากกว่าการฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งวิธีการดำาเนินคดีอาญา
ฐานหมิ่นประมาทแยกออกเป็นการฟ้องคดีอาญาเอง และการร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ
ดำาเนินคดีอาญา
1) ก�รฟ้องคดีอ�ญ�เอง
หากโจทก์ฟ้องคดีอาญาผู้แสดงข้อความหรือความคิดเห็นในกิจการสาธารณะ
อันเป็นลักษณะของการข่มขู่หรือคุกคาม ศาลอาญาจะไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก่อนเสมอ ซึ่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
เป็นเรื่องระหว่างศาลอาญากับโจทก์ที่จะนำาพยานมาสืบให้เห็นมูลความผิด โดยจำาเลยไม่จำาเป็นต้องมาปรากฏตัว
ในศาล แต่สามารถตั้งทนายมาซักค้านได้ โดยประเด็นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีเพียงแค่ “จำาเลยได้ใส่ความโจทก์
34
ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่” ซึ่งหากโจทก์นำาสืบครบถ้วน
ในเบื้องต้น ศาลจะประทับรับฟ้องโจทก์และเรียกหรือจับจำาเลยมาดำาเนินคดี และจำาเลยจะได้รับความเดือดร้อน
อาจถูกควบคุมตัวระหว่างพิจารณา หรือต้องหาหลักประกันตัวมาประกันตัวเองในระหว่างการพิจารณาคดี
โดยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนี้ ยังไม่มีประเด็นเรื่อง การติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัย
ของประชาชนย่อมกระทำา ตามมาตรา 329 (3) เพราะเป็นประเด็นที่จำาเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา
ดังนั้น การไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาที่มีการฟ้องคดีเพราะการฟ้องข่มขู่หรือคุกคาม และการประทับรับฟ้องว่า
คดีมีมูล ย่อมส่งผลเสียต่อจำาเลยผู้แสดงข้อเท็จจริงหรือความเห็นโดยสุจริตในประเด็นสาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตามที่ได้วิเคราะห์แล้วในหัวข้อ 4.1.2 ว่าการดำาเนินคดีอาญาฐานหมิ่นประมาท
ให้ประโยชน์กับผู้ดำาเนินคดีมากกว่าต้นทุน ดังนั้น ผู้ดำาเนินคดีจึงนิยมเลือกการดำาเนินคดีอาญามากกว่าคดีแพ่ง
อีกทั้งการไต่สวนมูลฟ้องและการประทับรับฟ้องในคดีที่โจทก์ฟ้องเพราะเหตุ SLAPP ยิ่งสร้างแรงกดดันให้ผู้แสดง
ข้อเท็จจริงหรือความเห็นในประเด็นสาธารณะอย่างมาก การแก้ไขปัญหาดังกล่าวน่าจะใช้การออกระเบียบภายใน
34 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 165 วรรค 3 บัญญัติว่า “ในคดีราษฎรเป็นโจทก์
ศาลมีอำานาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำาเลย ให้ศาลส่งสำาเนาฟ้องแก่จำาเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำาเลยทราบ
จำาเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง โดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำาเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมา
ซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำาให้การจำาเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำาเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น”