Page 14 - วารสารวิชาการสิทธิมนุษยชน. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2561)
P. 14

ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2561)  13





                  4     ลักษณะก�รดำ�เนินคดีเพื่อยับยั้งก�รมีส่วนร่วมในประเด็นส�ธ�รณะ


                        การมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะที่ไม่มีผลทางกฎหมายและที่มีผลทางกฎหมายสามารถนำาไปสู่

               การดำาเนินคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะได้ทั้งสิ้น โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ถูกตรวจสอบ
               สามารถใช้มาตรการตอบโต้เพื่อทำาลายแรงจูงใจของผู้ตั้งประเด็นตรวจสอบได้หลายทาง ไม่ว่าจะใช้วิธีการนอก

               กฎหมาย เช่น ขู่เข็ญจะทำาอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน ซึ่งวิธีการนอกกฎหมายนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องข่มขู่
               หรือคุกคาม และอยู่นอกเหนืองานศึกษาชิ้นนี้ แต่หากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ถูกตรวจสอบใช้วิธีการทางกฎหมาย

               จะเรียกว่า “SLAPP” หรือการดำาเนินคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ

                                                                             11
                        การดำาเนินคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะมีหลายวิธี  เช่น การดำาเนินคดี
               หมิ่นประมาททั้งทางแพ่งและทางอาญา และการดำาเนินคดีอาญาฐานแจ้งความเท็จหรือฟ้องอาญาเท็จ



                        4.1 หมิ่นประม�ท

                            การดำาเนินคดีหมิ่นประมาทถูกนำามาใช้เพื่อการยับยั้งการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ

               อย่างมาก เพราะเหตุว่ากฎหมายไทยได้กำาหนดให้หมิ่นประมาทเป็นทั้งความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทาง
               อาญา ผู้ที่ตรวจสอบกิจการสาธารณะ หากได้แสดงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในกิจการสาธารณะ  อาจถูก

               หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องร้องหรือดำาเนินคดีหมิ่นประมาทได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญา  เพื่อใช้

               การดำาเนินคดีหมิ่นประมาทเป็นเครื่องมือที่จะยับยั้งการแสดงข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นในกิจการสาธารณะ
                            หมิ่นประมาททางแพ่งบัญญัติเป็นความรับผิดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา

               423 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง

               หรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำามาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี
               ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้

               รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
                            ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสีย

               โดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำาให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”

                            ผู้เสียหายในคดีหมิ่นประมาทจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่ง
               และพาณิชย์ มาตรา 438 ซึ่งบัญญัติว่า “ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควร

               แก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย



                          11    ในบางประเทศมีวิธีการฟ้องข่มขู่หรือคุกคาม (SLAPP) มากกว่าที่กล่าวไว้นี้ เพราะบริบทบางประเทศ
               มีการใช้การดำาเนินคดีอาญาฐานองค์กรอาชญากรรมเป็นเครื่องมือของ SLAPP ซึ่งไม่ปรากฏในประเทศไทย
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19