Page 52 - คู่มือประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน และรายการตรวจสอบของภาคธุรกิจ
P. 52
กรอบการท�า HRDD 7
บทบาทของภาครัฐ
• คำานึงถึงผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ ไม่เฉพาะแต่ในระดับพื้นที่ แต่ยังรวมถึงมิติอื่นๆ ของการ
ประกอบกิจการ เช่น สถานปลูกสร้าง เส้นทางขนส่ง พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบสะสม หรือ
การเปลี่ยนแปลงที่อาจไม่ได้ตั้งใจแต่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า ภาครัฐมีความรับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้วต่อโครงการใดๆ ก็ตามของบริษัทที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น รวมถึง
• ระบุชนิดและลักษณะของ “ผลกระทบสะสม” ต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นผลกระทบที่อาจไม่ชัดเจน หน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสมาชิกในชุมชน กฎหมายบางประเทศระบุว่ารัฐบาลจะต้องจัดประชาพิจารณ์
ตั้งแต่แรก ด้วยการทำาแผนที่สิ่งปลูกสร้างในระยะสั้น และในระยะยาวของบริษัท และคำานึงถึง จากชุมชนก่อนที่จะออกใบอนุญาตหรือให้ความเห็นชอบ (กฎหมายไทยระบุให้บริษัทผู้ดำาเนินโครงการเป็นผู้รับผิดชอบ
ผลกระทบจากโครงการก่อนหน้านั้นของบริษัทด้วย ดำาเนินการ) บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้นเมื่อใดที่รัฐไม่จัดประชาพิจารณ์ หรือจัดแต่ไม่เพียงพอ
• หลีกเลี่ยงการนิยาม “ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ” อย่างแคบเกินไป เนื่องจากชุมชน แนวปฏิบัติของ IFC แนะนำาว่าบริษัทควรติดตามประชาพิจารณ์ที่จัดโดยรัฐกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับโครงการของ
ที่อยู่ด้านนอกพื้นที่ซึ่งถูกระบุว่า “พื้นที่ผลกระทบจากโครงการ” อาจ “รู้สึก” ว่าพวกเขาได้รับ บริษัท เมื่อใดที่กระบวนการทำาประชาพิจารณ์ถูกตั้งคำาถามหรือมีประเด็นจากผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ผลกระทบ หรือรู้สึกว่าถูกกีดกันออกจากประโยชน์ของโครงการตามอำาเภอใจของบริษัท เมื่อนั้นบริษัทก็ควรจะพยายามค้นหาประเด็นเหล่านั้นและรับมือเองเท่าที่จะทำาได้ บริษัทอาจหาอำานาจควบคุมด้วยการ
• ประเมินความสำาคัญของโครงการต่อผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่มจากมุมมองของพวกเขาเอง พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมหรืออย่างน้อยก็ส่งผู้สังเกตการณ์ในกระบวนการประชาพิจารณ์ใดๆ ก็ตามที่จัดโดยรัฐ บริษัท
บางกลุ่มอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ จะได้มั่นใจว่ากระบวนการนั้นๆ ดีพอ หรือพยายามหาทางปรับปรุงถ้าจำาเป็น
• พิจารณาตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มใดหรือบุคคลใดมีความเปราะบางหรืออยู่ชายขอบ
มากที่สุดในบรรดาผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด และคำานึงว่าบริษัทจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษหรือ กระบวนการประชาพิจารณ์ที่ “มีความหมาย” ในทางปฏิบัติ
ไม่ในการให้พวกเขามีส่วนร่วม
• เวลาระบุตัวแทนของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย บริษัทของคุณควรให้ความสำาคัญเป็นพิเศษว่า
ตัวแทนเหล่านั้นเป็น “ตัวแทน” มุมมองของผู้มีส่วนได้เสียจริงๆ หรือไม่ บริษัทสามารถไว้วางใจ กล่าวโดยทั่วไป ประสบการณ์ของบริษัทต่างๆ ที่ผ่านมาบอกว่าปัจจัยต่อไปนี้ อาจเป็นตัวตัดสินระหว่างกระบวนการ
ให้สื่อสารผลการเข้ามามีส่วนร่วมกับบริษัท กลับไปยังผู้มีส่วนได้เสียที่พวกเขาเป็นตัวแทนได้หรือไม่ ประชาพิจารณ์ที่ดูดีบนกระดาษ กับประชาพิจารณ์ที่มีความหมายในทางปฏิบัติ
• มีกลยุทธ์การมีส่วนร่วม ประเด็นนี้อาจสำาคัญเป็นพิเศษเมื่อฝ่ายต่างๆ ในบริษัท
การสร้างกระบวนการปรึกษาหารือที่เหมาะสม นิยาม “การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย” แตกต่างกัน การสื่อสารของฝ่ายการสื่อสารองค์กร
การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น และการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการที่บริษัทอาจคิดเอาเองว่า
การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียนั้นจะต้องปรับให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นและความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย จะส่งผลรวมแบบ “บวกกัน” เป็นผลดีนั้นอาจไม่ตรงกับความคาดหวังของชุมชนก็ได้
ที่คุณต้องไปปรึกษา แนวปฏิบัติโดย IFC ชี้ว่า กระบวนการปรึกษาหารือที่ดีนั้นควรมีลักษณะดังนี้ • สะท้อนระดับการมีส่วนร่วมที่เหมาะสม บริษัทไม่จำาเป็นจะต้องปรึกษาผู้มีส่วนได้เสียทุกราย
เวลาที่ตัดสินใจทุกเรื่อง และระดับการมีส่วนร่วมที่เหมาะสมของแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกัน ถ้าหากบริษัท
ไม่จัดการกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย (ว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจอะไรบ้าง)
• พุ่งเป้าไปยังบุคคลที่น่าจะได้รับผลกระทบสูงสุดจากโครงการ พวกเขาก็อาจไม่พอใจและผิดหวัง
• จัดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อทำาความเข้าใจกับประเด็นหลัก และจะได้ส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับ • เข้าใจคุณค่าของการปรึกษาหารือกับชุมชนว่าเป็น “เครื่องมือสร้างความไว้วางใจ” ได้
การดำาเนินโครงการนั้นๆ ได้ นักชุมชนสัมพันธ์ที่มีทักษะสูงสามารถท้าทายมุมมองเดิมๆ ที่ว่า บริษัทสามารถจัดการกับ
• ผู้มีส่วนได้เสียได้รับข้อมูลสมบูรณ์ครบถ้วน โดยได้รับข้อมูลซึ่งถูกกระจายก่อนหน้ากระบวนการ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียด้วยการไม่ต้องให้มีส่วนร่วมก็ได้ โดยเฉพาะในขั้นการสำารวจ
• มีความหมายต่อผู้มีส่วนได้เสีย เนื่องจากเนื้อหาถูกนำาเสนอในรูปแบบที่ง่ายต่อการทำาความเข้าใจ และใช้ ความเป็นไปได้ของโครงการ แต่ประสบการณ์ธุรกิจทั่วโลกชี้ว่าข้อเท็จจริงอยู่ตรงข้าม กล่าวคือ
เทคนิคซึ่งเหมาะสมทางวัฒนธรรม การให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยปัดเป่าข่าวลือเกี่ยวกับโครงการ ทำาให้ทุกฝ่ายเข้าใจมุมมอง
• เป็นการสื่อสารสองทาง ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อมูล รับฟังซึ่งกันและกัน และ ของกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น รวมถึงมุมมองของบริษัท และช่วยลดช่องว่างความแตกต่างระหว่าง
ได้หยิบยกประเด็นที่ตนสนใจหรือกังวล ความคาดหมายของแต่ละคน
• มีความเท่าเทียมทางเพศ ตระหนักว่าผู้ชายและผู้หญิงมักจะมีมุมมองและความต้องการที่แตกต่างกัน • บริษัทต้องมองว่าการมีส่วนร่วมนั้นเป็น กระบวนการต่อเนื่อง (On-going Process) ถ้าหากบริษัท
• จัดในบริบทท้องถิ่น ใช้เวลาและภาษาถิ่นที่เหมาะสม ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเฉพาะแต่ในเวลาที่ “จำาเป็น” (ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดอุบัติภัยจากโรงงาน)
• มีการบันทึก เพื่อติดตามว่าบริษัทเคยปรึกษาหารือกับใครบ้าง และมีการหยิบยกประเด็นใดบ้าง ผู้มีส่วนได้เสียก็จะมีแรงจูงใจที่จะสร้างข้อร้องเรียนเทียมขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจจากบริษัท
• รายงานผลกลับไปยังผู้มีส่วนได้เสียอย่างทันท่วงที พร้อมคำาอธิบายว่า ขั้นตอนต่อไปของบริษัทคืออะไร นอกจากนั้นยังพลาดโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์อันตั้งอยู่บนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
• จัดขึ้นอย่างสม่ำาเสมอตามความต้องการ ตลอดอายุขัยของโครงการ
52 53