Page 133 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2557
P. 133

132  รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำาปี ๒๕๕๗








                                    ทั้งนี้ ในช่วงที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ เมื่อ

                    วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๑ มีกฎหมายที่ประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของคนพิการในประเทศไทยที่สอดคล้อง
                    กับพันธกรณีตามอนุสัญญา อาทิ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐

                    พร้อมการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำาหรับ
                    คนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ และกฎกระทรวงแรงงาน ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง กำาหนดจำานวนคนพิการ

                    ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของภาครัฐจะต้องรับเข้าทำางาน และจำานวนเงิน
                    ที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำาส่งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

                    พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้น
                                    ในส่วนสิทธิด้านสุขภาพ ถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับการคุ้มครอง

                    จากรัฐ โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยเหตุของความแตกต่างใด ๆ  การได้รับบริการทางสาธารณสุขต้องได้
                    มาตรฐานและเหมาะสมกับช่วงวัย  ภาระโรคและการเจ็บป่วย  ทั้งนี้  ต้องได้รับบริการที่มีคุณภาพ สามารถ

                    เข้าถึงได้อย่างทั่วถึง หาได้ง่าย และมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ (Availability, Accessibility, Adaptability,
                    Quality : AAAQ) แต่ระบบประกันสุขภาพในระบบสาธารณสุขของไทยยังมีหลากหลายกองทุน ได้แก่

                    ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ ส่งผลให้เกิดความ
                                                                                        ๖๘
                          ้
                    เหลื่อมลำา ความไม่เป็นธรรมในการได้รับบริการสาธารณสุข สิทธิประโยชน์ไม่เท่าเทียมกัน   จึงจำาเป็นต้อง
                    กำาหนดเป็นหลักประกันว่า ทุกคนต้องได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน  ๖๙
                                    นอกจากนี้ ยังมีกรณี “นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน” (Emergency

                    Claim Online : EMCO) ในการกำาหนดแนวสำาหรับผู้ป่วยที่มีโรคหรืออาการของโรคที่มีลักษณะรุนแรง
                    อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือต่อผู้อื่นสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่พบปัญหา

                    ในทางปฏิบัติ ได้แก่ การตีความคำานิยาม “เจ็บป่วยฉุกเฉิน”  ซึ่งมีความเข้าใจแตกต่างกันในมุมมองของ
                    ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์  ทำาให้ไม่มีการส่งต่อผู้ป่วยเมื่อพ้นวิกฤตไปรักษาต่อยังโรงพยาบาล

                    ต้นสังกัดทำาให้ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนโยบาย รวมถึง
                    การขาดข้อมูล ข่าวสารของประชาชน ในการได้รับสิทธิประโยชน์และร้องเรียนเมื่อมีปัญหา เป็นต้น

                                    อนึ่ง ยังพบปัญหาการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพของคนบางกลุ่ม ข้อมูลจากสำานักงาน
                    พัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศได้ประเมินจำานวนบุคคลที่มีปัญหาทางสถานะและสิทธิทางสุขภาพ

                    เช่น ชนกลุ่มน้อย ชาวเขา คนไร้รัฐ ผู้อพยพลี้ภัยตามค่ายอพยพชายแดนไทย - พม่า  แรงงานข้ามชาติ
                    ที่อยู่นอกระบบ  และกลุ่มคนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนว่า มีประมาณ ๒ ล้านคน  ประชากรกลุ่มนี้คาดว่า

                    มีเด็กรวมอยู่ด้วยมากกว่า ๑ แสนคน  เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียวมีจำานวนเด็กต่างด้าวที่เป็น
                                                           ๗๐
                    ลูกของแรงงานข้ามชาติสูงถึงประมาณ ๓ หมื่นคน   สำาหรับกรณีคนพิการพบว่า การจัดบริการทางการ



                    ๖๘  ในเรื่องนี้ กสม. ได้มีข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมาย ตามรายงานผลการพิจารณาที่ ๓๙๖-๔๐๐/๒๕๕๖
                    ๖๙  คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติ “กรอบแนวทางการจัดทำาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูป”, ๒๕๕๗
                    ๗๐  แรงงานข้ามชาติกับระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย,  ดูรายละเอียดเพิ่มเติม <www.healthinfo.in.th> เข้าดูเมื่อวันที่  ๒๐

                       พฤษภาคม ๒๕๕๘
   128   129   130   131   132   133   134   135   136   137   138