Page 7 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 7
ถึงแม้ว่าการหนีภัยการสู้รบของประชาชนชาวพม่าที่ข้ามพรมแดนไทย
เข้ามาทางอำาเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายปี ๒๕๕๓ ได้ผ่านมา
หลายปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ได้ให้บทเรียนอย่างมหาศาลต่อ
ประเทศไทยในการจัดการกับผู้หนีภัยการสู้รบอย่างถูกต้อง โดยควรคำานึงถึง
หลักมนุษยธรรมในระดับสากล คือ การไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย (non-
refoulement) ซึ่งเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในนานา
อารยประเทศ
ภาพการอพยพของผู้หนีภัยการสู้รบที่ อำาเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่มี
ผู้ลี้ภัยประมาณ ๒๕,๐๐๐ คน และที่อำาเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ประมาณ ๓,๐๐๐ คน กับปฏิบัติการของทหารฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่
พยายามผลักดันผู้หนีภัยสงครามกลับสู่ภูมิลำาเนาของตน ทั้งๆ ที่ยังคงมีการ
สู้รบระหว่างทหารพม่ากับกองกำาลังของชนกลุ่มน้อย ทำาให้ผู้หนีภัยสงคราม
ต้องเดินทางกลับเข้ามายังฝั่งประเทศไทย ๓ - ๔ รอบนั้น เกิดจากนโยบายของ
สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งใช้พระราชบัญญัติคน
เข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นหลักว่า ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบเป็นผู้เข้าเมืองโดย
ผิดกฎหมาย และไม่ใช่บุคคลที่ได้รับการผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในประเทศ
เป็นการชั่วคราว ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
การรีบผลักดันผู้หนีภัยการสู้รบในครั้งนั้น ถูกประชาคมนานาชาติตั้งคำาถาม
กับประเทศไทยว่า ได้คำานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพียงใด
บทเรียนจากปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงในครั้งนั้น ประเทศไทยควร
ทบทวนนโยบายด้านความมั่นคงที่อยู่ภายใต้แนวคิดเดิมในยุคสงครามเย็นที่
ล้าสมัยแล้ว โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลักการที่ถูกต้องของนโยบายความ
มั่นคงแห่งชาติ ในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ กระแสประชาธิปไตย
การค้าเสรี ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องพึ่งพาอาศัยกัน ควรเป็นนโยบายที่มุ่ง
สู่การสร้างสภาวะแวดล้อมที่สันติสุข เพื่อให้เกิดความมั่นคงที่ยั่งยืน และให้
การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ สามารถดำาเนินไปอย่างราบรื่นโดยภาครัฐ
ภาคประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม มีส่วนร่วมในการกำาหนดนโยบาย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒