Page 30 - พระมหากษัตริย์กับงานสิทธิมนุษยชน
P. 30
เมืองในดินแดนสุวรรณภูมิมี เมืองพะเยา เมืองอยุธยา เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองนครราชสีมา
ต่างก็เป็นเมืองใหญ่ที่มีการจัดการปกครองกันเองตามลักษณะภูมิประเทศและประเพณีวัฒนธรรม
ของตน ทำาให้นครรัฐที่มีผู้ครองเมือง มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ยึดหลักการปกครองแบบ
พ่อปกครองลูกเหมือนกัน
การปกครองแบบพ่อปกครองลูก เป็นการปกครองชุมชนเมืองในสมัยเริ่มแรกที่มีการยอมรับ
นับถือผู้นำาของตน โดยเชื่อถือพ่อขุนเป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินที่ให้ความใกล้ชิดเสมือนเป็นพ่อ
ของราษฎรทั้งปวง ดังนั้น การนำารูปแบบการปกครองสมาชิกในตระกูลหรือครอบครัวมาใช้ จึงเป็นการ
ให้ความเชื่อถือว่าพ่อเป็นผู้ปกครอง ครัวเรือนหลายครัวเรือนที่รวมกันเป็นหมู่บ้าน พ่อผู้ปกครองหมู่บ้าน
จึงนับถือเป็นพ่อบ้าน และครอบครัวที่ถูกปกครองนั้นเป็นลูกบ้าน เมื่อมีหลายหมู่บ้านมารวมกันเป็น
เมือง มีผู้ครองเมืองหรือนครรัฐจึงมีฐานะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า พ่อขุน
ความเป็นเมืองในระยะแรกนี้เนื่องจากเมืองหรือแคว้นมีอาณาเขตไม่มากนัก ประชาชนตั้ง
ครัวเรือนรวมกันจำานวนน้อย สามารถไปมาหาสู่กันได้สะดวก พ่อขุนนั้นจึงทำาหน้าที่ดูแลประชาชนได้
อย่างใกล้ชิด ไม่ถือพระองค์ ไม่ถืออำานาจ ไม่ถือยศศักดิ์แต่อย่างไร พ่อขุนทำาหน้าที่เหมือนพ่อที่คอยฟัง
ความคิดเห็นของเจ้านายและขุนนาง คอยแก้ไขปัญหาและขจัดความเดือดร้อน ตลอดจนให้ความเป็น
ธรรมแก่ราษฎร รวมถึงการอบรมสั่งสอน โอยศีลโอยทานกลางดงตาลแก่ข้าราชบริพาร ไพร่ฟ้าราษฎร
พ่อขุนผู้ครองเมืองจึงล้วนแต่มีเมตตากรุณาแก่ไพร่ฟ้าราษฎร นับเป็นสังคมที่สร้างสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
ให้เกิดขึ้นโดยทั่วไป
“ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั่น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้าน กลางเมือง
มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มักจักกล่าวถึงเจ้าขุนบ่ไร้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้
พ่อขุนรามคำาแหงเมื่อได้ยินเสียงเรียกเมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ” หมายถึง
ยามราษฎรมีทุกข์ร้อนเรื่องใดขึ้น ก็สั่นกระดิ่งให้พ่อขุนชำาระความด้วยความเที่ยงธรรม
“ไพร่ฟ้าลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน สวนดูแท้แล้จึงแล่งความแก่
ข้าด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน” หมายถึง ผู้ใดทำาผิดไม่ว่าเป็นลูกเจ้าลูกนาย ก็มีการ
สอบสวนอย่างซื่อตรง ไม่เข้าข้างผู้ทำาผิด
ข้อความในจารึกดังกล่าวนี้ เป็นหลักฐานสำาคัญถึงการปกครองที่พ่อขุนได้ดูแลราษฎร
ในลักษณะของการเอื้อต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ให้ราษฎรมีสิทธิในชีวิตของตน อันนำาให้สังคมเกิด
“ไพร่ฟ้าหน้าใส” ทำาให้มีความร่มเย็นเป็นสุขถ้วนหน้า และรวมไปถึงสิทธิทางการค้าขาย ทำามาหากิน
ดังความว่า “ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทอง ค้า”
ด้วยการปกครองแผ่นดินแบบพ่อปกครองลูกนั้นจึงทำาให้เมืองสุโขทัย เป็นเมืองแห่งความสุข
มีแต่เรื่องโอยศีลโอยทาน และการสร้างสิทธิมนุษยชนจนมีความสุขร่มเย็นสมกับชื่ออาณาจักร
30 พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น