Page 18 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 18

9




                  แท่งแก้วที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมจะสามารถแยกแสงออกมาได้เป็น 7 สี มีความยาวคลื่นต่างกัน ได้แก่
                  แดง, แสด, เหลือง, เขียว, น้ําเงิน, คราม และม่วง ถ้าหากความยาวคลื่นแสงยาวกว่าหรือสั้นกว่านั้น ประสาท

                  ตามนุษย์รับไม่ได้ และเป็นที่น่าสังเกตว่าสีต่างๆ เหล่านี้มิใช้ว่าแยกจากกันได้โดยเด็ดขาดแต่จะค่อยๆ เพี้ยนไป
                  จากเดิมแล้วกลืนเข้าสู่สีใหม่ตลอดทั้ง 7 สี
                                  การที่แสงสีขาวผ่านปริซึมแล้วแยกออกไปเป็นสีต่างๆ นั้น เป็นเพราะแสงสีต่างๆ  มีความถี่
                  ของคลื่นแสงต่างกัน จึงทําให้ความสามารถของคลื่นแสงในการผ่านปริซึมได้ไม่เท่ากันทําให้ทิศทางของแสงสีใน
                  แท่งแก้วปริซึม แบนแยกออกจากกัน เรียกว่า การหักเหของแสง (Refraction) การหักเหของแสงจะมากน้อย

                  เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นแสง และสมบัติของตัวกลางที่แสงผ่าน สมบัติของวัตถุหรือตัวกลางนี้มีค่าที่
                  เรียกว่า ดัชนีหักเหของวัตถุ (Refractive Index) แสงสีขาวแยกออกมาเป็น 7 สี แต่วัตถุที่เป็นสี เช่น เสื้อสีแดง
                  กระดาษสีเหลือง หรือหน้ากระดาษที่ผู้อ่านกําลังอ่านตัวอักษรสีดําอยู่นี้ก็มีสีที่บอกได้ว่าสีอะไร ทั้งๆ ที่ตัววัตถุ

                  ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่ที่มีสีต่างกันได้ก็เพราะกระดาษขาวเป็นตัวสะท้อนแสงที่ดีที่สุด สะท้อนทุกสีมาเข้าตา
                  ผู้มองดู สีดําคือตัวสะท้อนแสงที่ไม่มีความสามารถมากที่สุด เพราะดูดกลืนหมดทุกสี  ยกเว้นสีนั้นที่สะท้อนมา
                  เข้าตาจึงสามารถบอกได้ว่าวัตถุนั้นเป็นสี
                                  นัยน์ตาของมนุษย์ไวที่สุดต่อแสงสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง แสงที่มีขนาดแสงถัดจากแสง

                  สีแดงนั้นจะมีความยาวคลื่นแสงยาวกว่าคลื่นแสงสีแดงนั้นนัยน์ตาของมนุษย์ไม่สามารถแลเห็นได้เรียกว่า รังสี
                  แสงใต้แดง (Infrared rays/Dark  heat  rays)  แสงชนิดนี้ไม่จัดเข้าอยู่ในพวกแสงสว่าง เพราะจอประสาทตา
                  ของมนุษย์ไม่สามารถรับความรู้สึกได้ ส่วนแสงที่มีความยาวคลื่นแสงถัดจากแสงสีม่วง จะเป็นแสงที่มีความยาว
                  คลื่นแสงสั้นกว่าคลื่นแสงสีม่วง นัยน์ตาของมนุษย์ไม่สามารถแลเห็นได้เช่นกัน เรียกรังสีแสงนี้ว่า รังสีเหนือม่วง

                  (Ultra – violet rays/Dark chemical rays)
                                  อวัยวะที่เกี่ยวกับการมองเห็น (Organ of vision) ของร่างกายมนุษย์นั้น เมื่อสัมผัสกับคลื่น
                  แสงของรังสีอินฟราเรดหรือรังสีอุลตร้าไวโอเลตนั้นจะได้รับอันตราย โดยเฉพาะรังสีอุลตร้าไวโอเลต เป็นรังสีที่มี
                  ความยาวคลื่นแสงมากกว่ารังสีอินฟราเรดซึ่งเป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นแสงสั้น (Long ultraviolet and short

                  infrared) ดังนั้นจึงสามารถปูองกันรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้โดยสวมแว่นตาที่ฉาบสารเคมีไว้ที่ผิวเลนส์ เลนส์ชนิดนี้
                  คือเลนส์ ยู.วี.เอ็กซ์. (U.V.X. Lenses)
                                  รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคือรังสีที่มากับแสงอาทิตย์และรังสีอุลตร้าไวโอเลต

                  ที่เกิดจากการทําให้เกิดขึ้นเรียกว่า “Artificial ultraviolet light” ได้แก่ หลอดไฟไอของปรอท (Mercury vapour)
                  หลอดไฟฟลูโอเลสเซ็นต์ (Fluorescente) หลอดไฟคาร์บอนอาค (Carbon arc) หลอดตะเกียงทังสะเตน (Tungsten
                  Lamps) หลอดไฟเหล่านี้จะให้รังสีทั้งอุลตร้าไวโอเลตและอินฟราเรด
                                  การที่นัยน์ตามนุษย์สามารถมองเห็นสีเป็นสีต่างๆ ได้นั้นเกิดจากการผสมสีเข้าด้วยกัน หากนํา
                  แสงสีใดก็ตามที่แยกออกมาได้นี้มา 2 สี ผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะแล้วจะเกิดเป็นแสงสีขาวขึ้น เช่น แสงสี

                  แดงผสมกับน้ําเงิน–เขียว สีส้มกับสีน้ําเงิน หรือสีเหลืองกับสีน้ําเงิน จะเรียกว่าเป็นสีที่เป็น Complementary pair
                  ขณะเดียวกัน หากนําแสงสีอื่นๆ มารวมกันก็อาจจะให้สีที่แตกต่างกันไปอีกมากมาย เช่น สีแดงผสมกับสีเหลือง
                  จะได้สีส้ม เป็นต้น
   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23