Page 222 - รายงานสรุปผลการดำเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการคุ้มครองการละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิในที่ดิน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สำหรับเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. ระหว่างวันที่ 19-23 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
P. 222
แนวค าวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
๑. ค ำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๖๘ – ๑๗๕/๒๕๖๕
ที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ฟ้องคดีที่ ๗ ถึงผู้ฟ้องคดีที่ ๑๐ มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมฯ
พ.ศ. ๒๕๑๒ ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ ต่อมา อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์
ผู้รับผิดชอบพื้นที่นิคมฯ มอบพื้นที่บางส่วนให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพื่อก่อสร้างโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ า ดังนั้น ที่ดินซึ่งเป็น
เขตนิคมฯ จึงแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ๑.พื้นที่เขตนิคมฯ อธิบดีฯ มีอ านาจอนุญาตให้ราษฎรที่เป็นสมาชิกนิคมเข้าท าประโยชน์ตาม
มาตรา ๖ และ ๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ และ ๒.ที่ดินที่อธิบดีฯ มอบให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพื่อสร้าง
อ่างเก็บน้ า เพื่อให้ทราบแนวเขตที่ชัดเจน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงด าเนินการปักหลักเขตชลประทาน ในระยะเริ่มแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ถึง
พ.ศ. ๒๕๑๔ เจ้าหน้าที่ปักหลักเขตชลประทานระยะห่างทุก ๕๐๐ เมตร ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เพิ่มหลักเขตเป็นระยะห่างทุก ๑๐๐
เมตร เมื่อพิจารณาแผนที่แสดงเขตที่ดินเพื่อการชลประทาน แผนที่แสดงเขตที่ดินส าหรับใช้ในราชการกระทรวงการคลังโครงการอ่างเก็บ
น้ าพิพาท แผนที่ท้ายหนังสือส าคัญส าหรับที่หลวงเลขที่ ๔๐๐๘๗ รวมทั้งแผนที่การซ่อมหลักเขตชลประทาน ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. ๒๕๓๗
พ.ศ. ๒๕๔๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว แม้จะไม่ปรากฏหลักเขตชลประทานเลขที่ ชป ๐๐๖๖ ตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า เป็นหลักเขตที่ถูก
ปักเพิ่มเติมทุกระยะ ๑๐๐ เมตร ซึ่งรุกล้ าเข้ามาในเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีก็ตาม