Page 181 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 181

164


                       เพื่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในการกักเก็บน้้าให้กับผู้ประกอบการ หรือ การละเมิดสิทธิชุมชนเพื่อ

                       สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้้า เพื่อกักเก็บน้้า เพิ่มมากขึ้นด้วยการอ้างสารพัดเหตุที่ภาครัฐจะเข้าไปจัดการ

                       ปัญหารูปแบบเดิมก็จะเกิดไม่มีจบสิ้น


                              6.2.3 “การมีส่วนร่วม” ของชุมชนนับเป็นกลไกการจัดการความขัดแย้งตามแนวทาง

                       “สันติวิธี” ซึ่งได้รับการยอมรับในการบริหารจัดการทรัพยากรน  า
                              แบบแผนการจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธีที่พบในพื้นที่ชุมชนลุ่มน้้าน่านและ

                       ชุมชนลุ่มน้้าชีนั้นมีหลายรูปแบบซึ่งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งเล็กน้อย เช่น ความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน

                       ความขัดแย้งกับชุมชนอื่น ความขัดแย้งเหล่านี้จะใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยโดยผู้น้าชุมชนคือก้านันหรือ
                       ผู้ใหญ่บ้าน หรือหากพบปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพน้้าเพื่อการอุปโภคบริโภค คนในชุมชนจะอาศัยการ

                       ร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างง่าย เช่น การเก็บขยะ ขุดลอกคูคลอง อนุรักษ์ป่าต้นน้้า และยังพบว่าในชุมชน
                       ได้มีความขัดแย้งที่เกิดกับหน่วยงานภาครัฐซึ่งบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจาต่อรองหรือใช้

                       วิธีปรึกษาหารือ แต่บางกรณีก็ไม่สามารถแก้ไขได้เนื่องจากความซับซ้อนของปัญหาและบริบทในพื้นที่

                              ทั้งนี้ การมีส่วนร่วม (Participation) นับเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้รับการรับรองในกฎหมายและมี
                       นโยบายส่งเสริมให้เกิดขึ้นอย่างแข็งขันซึ่งถือเป็นการจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี

                       กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นลักษณะของการ “สร้างเวที” และ “เปิดเวที” ให้แก่

                       ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในมิติต่าง ๆ ไม่ว่า
                       จะเป็นร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมสังเกตการณ์ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์ ดังที่ใน

                       แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้้า 20 ปี ก็ได้ให้ความส้าคัญต่อชุมชนในการมีส่วนร่วมต่อการ

                       จัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้้าและส่งเสริมการจัดการน้้าชุมชน โดยก้าหนดให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการ
                       ทรัพยากรน้้าในพื้นที่ได้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และเกิดเครือข่ายการ

                       บริหารจัดการทรัพยากรน้้าชุมชน ทั้งยังให้ความส้าคัญต่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้้าเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า

                       ต้นน้้าที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน นอกจากนี้ งานศึกษาหลายชิ้นได้แนะน้าว่าการ
                       จัดการต้นน้้าที่ประสบความส้าเร็จจะต้องสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการมากยิ่งขึ้น

                       ต้องกระจายภาระหน้าที่การมีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ไปสู่ชาวบ้านและองค์กรชุมชนเป็นหลัก ซึ่งการ

                       ที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งสามภาคส่วนคือ รัฐ เอกชน (ภาคอุตสาหกรรม) และชุมชนได้ด้าเนินการจัดท้าข้อตกลง
                       การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้้าร่วมกันจะเป็นทางออกของการแก้ไขความขัดแย้งและจัดการทรัพยากรน้้า

                       (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ, 2562; ส้านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2555; Apipalakul C. et al.,

                       2015)
   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186