Page 179 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 179

162


                       หลายครั้งการแก้ปัญหาด้วยการให้ผู้น้าไปเจรจาก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้้าน่าน

                       แตกต่างจากพื้นที่ลุ่มน้้าชี ชุมชนลุ่มน้้าน่านเป็นชุมชนที่หลากหลายด้านชาติพันธุ์ ประกอบกับพื้นที่

                       เป็นพื้นที่สูงซึ่งยากต่อการแก้ปัญหาในด้านการจัดการทรัพยากรน้้าให้ทั่วถึง โดยอาจจะต้องแก้ปัญหา
                       ด้วยวิธีการที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น  แต่อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาจะยุติลงได้ก็เมื่อแต่ละฝ่าย

                       ยอมรับฟัง

                              ประการที่สาม ด้านสิทธิชุมชนที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับแนวทางการบริหารจัดการ
                       น้้าตามนโยบายภาครัฐภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติทรัพยากรน้้า ปี พ.ศ. 2561 นั้น  เมื่อวิเคราะห์

                       ขั้นตอนต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าชุมชนจะไปมีบทบาทแสดงสิทธิในฐานะผู้มีส่วนร่วมในขั้นตอนการก้าหนด

                       นโยบาย ชุมชนต้องมีการรวมกลุ่มผู้ใช้น้้าและขึ้นทะเบียนจัดตั้งองค์กรกับหน่วยงานภาครัฐ (ส้านักงาน
                       ทรัพยากรน้้าแห่งชาติ : สทนช) เมื่อกลุ่มตัวแทนผู้ใช้น้้าขึ้นทะเบียนองค์กรแล้วจึงจะมีสิทธิเสนอ

                       ตัวแทนเข้ารับการคัดเลือกไปเป็นคณะกรรมการลุ่มน้้า และกรรมการลุ่มน้้าจึงจะถูกเสนอชื่อให้เป็น
                       คณะกรรมการน้้าแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากชุมชนจะใช้สิทธิในระดับนโยบายก็ต้องตั้ง

                       กลุ่มผู้ใช้น้้าขึ้นมาเพื่อให้ได้รับการรับเลือกเข้าเป็นคณะกรรมการลุ่มน้้า และจากคณะกรรมการลุ่มน้้า

                       จึงจะสามารถเข้ามาก้าหนดนโยบายในการบริหารจัดการน้้าภาพรวมของประเทศได้ แต่จากการ
                       ส้ารวจในพื้นที่ชุมชนทั้งสองแห่งทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณก็ไม่พบว่าสมาชิกของชุมชนคนใดที่มี

                       การตั้งกลุ่มผู้ใช้น้้า แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ใช้สิทธิของตนเองตามกรอบ

                       กฎหมาย แต่ภายใต้กติกาดังกล่าวกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่ชุมชนจะเข้าถึงได้ด้วยความยากล้าบาก
                       โดยเฉพาะชุมชนคนต้นน้้าส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่สูงห่างไกลจากการได้รับข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้

                       จากการส้ารวจพื้นที่ทั้งสองแห่งพบว่ากว่าร้อยละ 60  เป็นผู้จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา

                       โอกาสที่ชุมชนคนต้นน้้าจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและจัดตั้งองค์กรจนถึงขั้นผู้ใช้น้้าจนกระทั่ง
                       ผ่านการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้น้อยมาก ซึ่งไม่นับรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่กับ

                       ป่าต้นน้้าแทบจะเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่ง ในระยะยาวภาครัฐอาจจะอาศัยช่องว่างดังกล่าว

                       สร้างความชอบธรรมในการจัดสรรทรัพยากรน้้าอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะความพยายามที่พัฒนา
                       โครงการขนาดใหญ่ เช่น  การสร้างอ่างเก็บน้้า  เขื่อน เป็นต้น ในพื้นที่อนุรักษ์หรือพื้นที่ต้นน้้า

                       ซึ่งอาจจะเป็นการก่อให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการก้าหนดนโยบายการบริหารจัดการน้้า

                       ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนที่เป็นกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ
                              นอกจากนี้ที่มาของคณะกรรมการทรัพยากรน้้าแห่งชาติ (กนช) ตามมาตรา 9 ใน

                       พระราชบัญญัติทรัพยากรน้้า กรรมการส่วนใหญ่มาจากภาครัฐแทบทั้งสิ้น โดยก้าหนดตัวแทนที่มา

                       จากคณะกรรมการลุ่มน้้าจ้านวน เพียง 6 คน และตัวแทนคณะกรรมการลุ่มน้้า 6 คนนี้ ก็ไม่ได้มาจาก
                       ภาคชุมชนเกษตรกรรมหรือภาคประชาชนทั้งหมด แต่ต้องมาถูกคัดเลือกจากคณะกรรมการลุ่มน้้าทั้ง
   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183   184