Page 178 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 178

161


                       แม่บทการบริหารจัดการน้้า 20 ปี ซึ่งภายใต้เงื่อนไขการจัดสรรทรัพยากรน้้า น้้าถือเป็น “ทรัพยากร

                       สาธารณะ” ที่ทุกส่วนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะได้รับการจัดสรรอย่างเป็นธรรม แต่จากผลการศึกษา

                       สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมด้านการส่งเสริมสิทธิชุมชนด้านการบริหารจัดการน้้า และความขัดแย้ง
                       กันในทางนโยบายกับบทบัญญัติด้านสิทธิชุมชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560  น้้าจึงอาจจะ

                       ไม่ใช่ “ทรัพยากรสาธารณะ” ดังที่กล่าวอ้างใน พรบ.ทรัพยากรน้้าปี 2561 เนื่องจากช่องว่างของการ

                       เข้าถึงสิทธิของชุมชนในหลายประเด็นด้วยกันที่ในอนาคตจะก่อให้เกิดความขัดแย้งด้านการใช้
                       ทรัพยากรน้้ายังคงอยู่ โดยจากผลการศึกษามีข้อสังเกตที่น่าสนใจในหลายประเด็นด้วยกันดังนี้

                              ประการแรก ข้อมูลที่ค้นพบในพื้นที่ต้นน้้า ชุมชนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจต่อสิทธิขั้น

                       พื้นฐานเป็นอย่างดี และยังมีความเข้าใจถึงขั้นตอนการปกป้องสิทธิของตนเองในการร้องเรียนต่อ
                       หน่วยงานที่ละเมิดสิทธิของชุมชน และได้มีการร้องเรียนในเรื่องสิทธิการขอใช้ประโยชน์จากแหล่ง

                       พื้นที่ต้นน้้ามาหลายครั้งทั้งแง่ของการเรียกร้องให้ได้เข้าถึงแหล่งน้้าที่เพียงพอในการด้ารงชีวิต
                       ในขณะเดียวกันการเกิดความขัดแย้งด้านการใช้ทรัพยากรน้้ามีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการไม่ได้รับการ

                       ตอบสนองในสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีน้้าใช้อย่างเพียงพอ ยกตัวอย่างกรณีพื้นที่ลุ่มน้้าชี จังหวัดชัยภูมิ

                       เกิดจากการไม่มีน้้าใช้จึงต้องขอต่อท่อน้้าประปาเข้าไปในเขตพื้นที่อนุรักษ์จนเป็นเหตุให้ต้องเกิดความ
                       ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีลุ่มน้้าน่าน จังหวัดน่าน เกิดจากการที่น้้าประปาไม่เพียงพอและคุณภาพ

                       น้้าไม่ได้มาตรฐานที่จะน้าไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าความขัดแย้งเป็นเพียงความต้องการที่จะมี

                       สิทธิในการเข้าถึงแหล่งน้้าที่สะอาดและเพียงพอต่อการด้ารงชีวิต ไม่ได้เป็นความขัดแย้งที่เกินขอบเขต
                       ที่จะเข้าไปละเมิดข้อกฎหมายใด ๆ เพียงแต่ในบางกรณีความต้องการทรัพยากรน้้าไปทับซ้อนกับพื้นที่

                       ในเขตอนุรักษ์ท้าให้ความขัดแย้งกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นในลุ่มน้้าชี  ดังนั้น

                       การแก้ปัญหาด้วยการจัดการน้้าให้เพียงพอต่อความต้องการ อาจจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
                       เชิงสันติวิธีที่ดีที่สุด และเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก่อนที่จะก่อเกิดปัญหารุนแรงมากขึ้น

                              ประการที่สอง ประเด็นในเรื่องความขัดแย้งและการแก้ปัญหาเชิงสันติวิธีด้านการบริหาร

                       จัดการทรัพยากรน้้า ชุมชนทั้งสองพื้นที่มีมุมมองต่อความขัดแย้งในเชิงบวก โดยเห็นว่าความขัดแย้ง
                       เป็นเรื่องปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และสามารถที่จะแก้ไขได้ สะท้อนมุมมองด้านการหาทางออกในเชิง

                       ประนีประนอมและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ชุมชนใช้ในปัจจุบันคือการพยายามที่

                       จะให้ตัวแทนชุมชน เช่น ก้านัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้น้าที่ชุมชนมีความสนิทสนมและมีความใกล้ชิด
                       มากกว่าผู้น้าประเภทอื่น ชุมชนจึงมีความไว้เนื้อเชื่อใจที่ให้เป็นตัวแทนในการเจรจาเชิงสันติวิธีในการ

                       หาแนวทางออกร่วมกัน โดยกิจกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหาในปัจจุบันคือการจัดเวทีประชุมพูดคุย

                       การเข้าไปเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมาในชุมชนลุ่มน้้าชี จังหวัดชัยภูมิ สามารถที่จะหาทางออกที่ดี
                       ในการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันพื้นที่ลุ่มน้้าน่าน ปัญหามีความซ้อนมากกว่าที่ผู้น้าชุมชนจะแก้ไขได้
   173   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183