Page 180 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 180
163
22 ลุ่มน้้า ซึ่งในกลุ่มคณะกรรมการลุ่มน้้าแต่ละลุ่มน้้าก็มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหรือตัวแทน
เป็นกรรมการโดยต้าแหน่ง ตัวแทนส่วนราชการในพื้นที่ ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทน
กลุ่มผู้ใช้น้้าในภาคเกษตรกรรม ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้น้้าภาคอุตสาหกรรม และตัวแทนกลุ่มผู้ใช้น้้าภาค
พาณิชยกรรม เมื่อพิจารณาในการได้มาซึ่งคณะกรรมการแล้ว ตัวแทนจากชุมชนภาคเกษตรกรรมคน
ส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าใช้สิทธิในก้าหนดนโยบายได้หรือไม่ ซึ่งสะท้อน
ความไม่เป็นธรรมในเชิงนโยบายในที่จะให้ความส้าคัญต่อสิทธิชุมชนที่คนกลุ่มใหญ่ จากสัดส่วนนี้แทบ
จะกล่าวได้ว่าเป็นการส่งเสริมภาครัฐหรือภาคราชการให้เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเพื่อจัดสรร
ทรัพยากรน้้าโดยอ้างความชอบธรรมในทางกฎหมาย ทั้งที่ในอดีตที่ผานมาการจัดการทรัพยากรน้้าก็
ถูกจัดการโดยหน่วยงานภาครัฐก็ล้มเหลวมาตลอด แต่ภาครัฐก็ยังใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมคือเพิ่ม
หน่วยงานภาครัฐเข้ามาจัดการมากขึ้นออกกฎหมายใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ภาครัฐมีอ้านาจมากขึ้น
ซึ่งจากข้อสังเกตจะยิ่งเพิ่มความข้อค้าถามและความเคลือบแคลงสงสัยต่อการมีส่วนร่วมของ
ภาคประชาชนมากยิ่งขึ้นและไม่ใช่ทางออกของปัญหา
ประการที่สี่ ข้อก้าหนดในหมวด 4 มาตรา 4 ใน พรบ.ทรัพยากรน้้า ปี 2561 ได้แจกแจงไว้ว่า
การใช้ทรัพยากรน้้าสาธารณะเพื่อการด้ารงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์
เพื่อยังชีพ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน การรักษาระบบนิเวศ จารีตประเพณี การบรรเทาสาธารณภัย
การคมนาคม และการใช้น้้าในปริมาณเล็กน้อย ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการใช้น้้าและไม่ต้องช้าระค่า
ใช้น้้า ส่วนการใช้น้้าในประเภทที่ สอง ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้้าสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น และการใช้น้้าประเภท
ที่สาม ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้้าสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้้าปริมาณมาก หรืออาจ
ก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้้า หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง ต้องขอรับใบอนุญาตการใช้น้้า
และต้องช้าระค่าใช้น้้า กล่าวคือในภาคการเกษตร หรือการใช้น้้าในภาคครัวเรือนไม่ต้องช้าระค่าน้้า
แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อทรัพยากรน้้าเป็นสิ่งจ้าเป็นและปริมาณน้้ามีจ้ากัด โดยจากการส้ารวจข้อมูลเชิง
พื้นที่ก็พบว่าภาคประชาชนโดยเฉพาะคนต้นน้้าก็ขาดแคลนน้้าในภาคการเกษตรไม่ได้แตกต่างกัน
ในเมื่อทุกฝ่ายต่างใช้น้้าในแหล่งน้้าอย่างเดียวกัน และปริมาณน้้าในแต่ละปีก็ไม่ได้ปริมาณที่เพียงพอ
และภาครัฐเองก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งต่อเนื่อง
การไม่ได้ก้าหนดสัดส่วนการใช้น้้าที่ชัดเจนในแต่ละประเภท ท้าให้ในอนาคตอาจจะเกิดความเหลื่อมล้้าไม่
เป็นธรรมในปริมาณการใช้น้้า และเงื่อนไขอาจจะก่อให้เกิดการแย่งน้้ากันเองระหว่างภาคประชาชนที่
ท้าการเกษตรและผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายค่าน้้า เพราะทุกภาคส่วนก็ต้องอ้างความจ้าเป็นของการใช้น้้า
ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับภาครัฐในอนาคตที่ต้องมาจัดสรรทรัพยากรน้้าให้เกิดความเป็นธรรมและ ให้มี
ปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของแต่ละฝ่าย ในอนาคตจึงอาจจะเห็นการละเมิดสิทธิของชุมชน

