Page 14 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 14
2
เป็นของประชาชนและชุมชน จึงนับเป็นการสร้างอัตลักษณ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าในชุมชน
ท้องถิ่นของตนขึ้นใหม่ด้วยองค์ความรู้ กระบวนการ และความส้าเร็จในการบริหารจัดการน้้าตาม
ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น
ส้าหรับการจัดการทรัพยากรน้้าด้วยวิธีการชี้ให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งและความเดือดร้อน
จากการด้าเนินนโยบายและโครงการพัฒนาแหล่งน้้าที่ผ่านมาในช่วงหลายสิบปี ซึ่งเกิดวิกฤตใน
ทรัพยากรน้้ามากมายโดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในทรัพยากรน้้าของประเทศด้ารงอยู่มาเป็น
เวลานาน เนื่องจากปัญหาการจัดสรรน้้าระหว่างรัฐกับราษฎร หรือระหว่างราษฎรกับราษฎร และ
แม้กระทั่งระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของเมืองและ
ภาคอุตสาหกรรม และเมื่อเขตพื้นที่ทั่วประเทศต้องประสบกับสภาวะภัยพิบัติเกี่ยวกับน้้า (ส้านักงาน
ทรัพยากรน้้าแห่งชาติ, 2562) ตัวอย่างเช่น 1) สถานการณ์ ปัญหาการเกิดมหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554
ซึ่งได้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 1.44 ล้านล้าน
บาท (ส้านักงานทรัพยากรน้้าแห่งชาติ, 2562) ราษฎรได้รับผลกระทบมากกว่า 13.1 ล้านคน (สาธิต
วงศ์อนันต์นนท์, 2554) และในบางพื้นที่เห็นความขัดแย้งในประเด็นการเปิดและปิดประตูระบายน้้าจน
ก่อให้เกิดการท้าลายเขื่อนกั้นน้้า (อดิศักดิ์ ขันตีและ อุทัย เลาหวิเชียร, 2559) 2) สถานการณ์ ปัญหาการ
แย่งชิงน ้า เนื่องจากน้้าแล้งหรือปัญหาภัยแล้งซ้้าซาก เช่นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ศิริพงษ์
หังสพฤกษ์ และพิพัฒน์ กัญจนพฤกษ์, 2548; ส้านักงานทรัพยากรน้้าแห่งชาติ, 2562) 3) สถานการณ์
ปัญหาการบริหารงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน ้า ที่ท้างานเฉพาะในภารกิจงานส่วนของตน
ระบบการจัดการน้้าจึงกระจัดกระจายไปเป็นส่วน ๆ (Fragmented) และไม่สามารถบูรณาการ
(integrate) การบริหารจัดการน้้าให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ (ส้านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2555)
และ 4) สถานการณ์ ปัญหากระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินในใจในนโยบายน ้าของรัฐ (ส้านักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2555) ดังมีวลีที่ว่า “การจัดการน้้าเน้นที่เทคโนแครต ไม่เห็นหัวชาวบ้าน”
การกระท้าเหล่านี้จะไม่ท้าให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจทางสังคม (Social Trust) จากปัญหาการจัดสรร
และบริหารจัดการน้้าดังกล่าว สถานการณ์เหล่านี้ จะเห็นว่ารัฐได้พยายามที่จะน้าเสนอโดยอ้างถึงสิทธิ
ในการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติรับรองไว้แล้ว โดยเฉพาะ
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิและเสรีภาพในมาตรา 25 ซึ่งระบุไว้ว่า “สิทธิและ
เสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่
มิได้ห้ามหรือจ้ากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะท้าการนั้นได้
และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่
กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น” (ราชกิจจานุเบกษา, 2560)