Page 127 - พระมหากษัตริย์กับงานสิทธิมนุษยชน
P. 127
พระมหากรุณาจากทศพิธราชธรรม
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา
สมัยธนบุรีและสมัยรัตนโกสินทร์ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๕ จึงได้เปลี่ยนระบอบการปกครอง
เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า ๗๐๐ ปี
แห่งประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยนั้น พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำานาจด้วยทศพิธราชธรรม
ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ไม่เคยปรากฏว่ามีพระมหากษัตริย์
ของไทยพระองค์ใดทรงกดขี่ ข่มเหง เบียดเบียนราษฎร ละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ปุถุชนของราษฎร
ประชาชนชาวไทยมีสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างอิสระ มีสิทธิที่จะพูด ทำาการค้าขาย ประกอบอาชีพ หรือ
เดินทางไปยังส่วนใดของประเทศก็ได้จนมีคำากล่าวว่า “พูดได้ตามใจคือไทยแท้” หรือ “ทำาได้ตามใจ
คือไทยแท้” ประชาชนชาวไทยมีอิสระในการดำารงชีวิต “ใครใคร่ค้าช้าง ค้า ใครใคร่ค้าม้า ค้า ใครใคร่
ค้าเงินค้าทอง ค้า” เป็นคำากล่าวที่ปรากฏในศิลาจารึกมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ประชาชนชาวไทยสามารถ
เลือกนับถือศาสนาได้ตามที่ตนปรารถนา ข้อจำากัดที่จะห้ามมิให้ผู้ใดกระทำาสิ่งใดๆ ก็จะเป็นไปตาม
ความเชื่อ หรือตามวัฒนธรรมซึ่งมีเหตุผล เพื่อความปลอดภัยของผู้กระทำานั้นเอง พระราชอาญา
ที่ได้กำาหนดไว้ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของราษฎรเพื่อไม่ให้ราษฎรเบียดเบียนกัน เอารัดเอาเปรียบกัน
การมีไพร่มีทาส มีเจ้าเงินนายเงินซึ่งเป็นไปตามลักษณะของสังคมในสมัยนั้น ก็มิได้ปรากฏว่า
พระมหากษัตริย์จะทรงอนุญาตให้มีการกักขัง คุกคาม ก้าวล่วงสิทธิของความเป็นมนุษย์หากทาส
ไม่ได้ทำาผิดกฎเกณฑ์ที่วางไว้ การลงโทษตามที่ปรากฏอยู่ในกฎมณเฑียรบาลหรือตามกฎหมาย
บางข้ออาจจะเหมือนรุนแรง ก็เพื่อป้องปรามมิให้มีการกระทำาผิด กระทำาชั่ว “กฎหมายมีไว้สำาหรับ
ความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่มีไว้สำาหรับข่มเหงประชาชน” พระมหากษัตริย์ของไทยจึงได้รับ
การยกย่องบูชาเทิดทูนว่าเป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น 127