Page 94 - รายงานสรุปโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ชุมคน ชุมชน คนใต้ ครั้งที่ 3
P. 94
๙๓
“ส าหรับการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของภาคใต้ ตอนนี้มีการน าเสนอเแผนพัฒนาภาคใต้ที่คนภาคใต้ต้องการ การเสนอรูปแบบ
การจัดการการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตัวเอง มีกองทุนพัฒนาสตรี การพัฒนาสร้างความมั่นคงความ
ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว
ภายใต้การขับเคลื่อนกิจกรรมทั้งหมด ประเด็นส าคัญอยู่ที่การพัฒนาศักยภาพของคน การเรียนรู้ประสบการณ์ทั้งด้านลึก และด้าน
กว้างข้ามพื้นที่ ข้ามประเด็น ข้ามภาค” นายนฤทธิ์ กล่าว
นายนฤทธิ์ กล่าวต่อไปว่า อีกส่วนที่ส าคัญคือ การจัดกระบวนการโต้ตอบของชุมชน การจัดการตนเองให้เป็นที่ปรากฏ ท าให้
กิจกรรมต่างๆ ในระดับพื้นที่มีความยั่งยืน มีการขับเคลื่อนเชิงรุกไปถึงท าเนียบรัฐบาล ไปถึงศูนย์กลางอ านาจ ซึ่งจะต้องเพิ่มพื้นที่
สื่อสารให้กับภาคพลเมือง ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับเครือข่าย และระดับประเทศ
นายนฤทธิ์ สรุปถึงความก้าวหน้าของชุมชนว่า ที่เห็นชัดเจนคือรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่น าหน้าสังคมไปแล้ว แต่ยังไม่แสดง
ออกมาให้เห็นชัดๆ เป็นการสร้างความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเสรีอาเซียน ในมิติที่มากกว่าเศรษฐกิจขณะที่ศักยภาพด้าน
การศึกษาของคนรุ่นใหม่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีรูปแบบการศึกษาหลายรูปแบบ ตั้งแต่โรงเรียนตาดีกา ปอเนาะ การจัดการศึกษา
ของรัฐ ความก้าวหน้าที่น่าสนใจคือ การจัดการภัยพิบัติด้วยตัวเองของประชาชนที่ตื่นตัว มีการวางแผน มีการท าข้อมูล จน
สามารถจัดการตัวเองได้เรียบร้อย และความก้าวหน้าในกลุ่มชาติพันธุ์ในมิติและประเด็นต่างๆ เช่น ความมั่นคงในชีวิต การศึกษา
และพัฒนาเยาวชน การพัฒนาฐานอาชีพ การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
นายนฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือ การพัฒนาสตรีเข้าสู่มิติต่างๆ โดยใช้วัฒนธรรมการเลี้ยงลูก
วัฒนธรรมความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการท ามาหากิน วัฒนธรรมการใช้ชีวิตในครอบครัว วัฒนธรรมศาสนา เป็นเครื่องมือจัดตั้ง
เครือข่ายต่างๆ ส่วรความก้าวหน้าอีกเรื่องคือ การใช้จุดอ่อนจากที่ถูกระแวง ไม่ได้รับการยอมรับ เป็นโอกาสในการสร้างชุมชน
ศรัทธา จนเกิดการยอมรับในสังคมเพิ่มขึ้น สามารถสร้างความสงบ สันติสุข สมานฉันท์ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นกระบวนการ
เปิดให้ภาคีท าประโยชน์เพื่อส่วนรวมร่วมกันได้
“รัฐต้องปรับวิธีคิดในการพัฒนา ด้วยการให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมจริงๆ รัฐต้องพร้อมที่จะรับข้อเสนอจากประชาชน รัฐต้อง
ทบทวนและหยุดโครงการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น และหันมาฟังประชาชน หยุดสนับสนุนให้ประชาชนทะเลาะกัน
ในชุมชน เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ รัฐต้องขยายเครือข่าย ดึงภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นเข้าไปร่วม
วางแผนการพัฒนา ขณะที่เครือข่ายประชาชนต้องเข้ามาร่วมผลักดันแก้ไขปัญหาต่างๆ ในระดับเชิงนโยบายด้วย” นายนฤทธิ์
กล่าว
นายนฤทธิ์ กล่าวว่า กระบวนการการเมืองภาคประชาชน หรือการเมืองภาคพลเมือง ยังต้องการให้รัฐบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวด
มากขึ้น และต้องการให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายบางฉบับ ที่สร้างปัญหาให้กับชุมชน นี่คือกระบวนการขับเคลื่อนการเมืองภาค
ประชาชน ที่ท าให้คนในชุมชน คนยากจน คนไร้ที่อยู่ คนไร้สัญชาติ เป็นคน เป็นพลังของบ้านเมือง
ทีมา: http://prachatai.com/journal/2011/09/36951
รายงานโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ชุมคน ชุมชน คนใต ครั้งที่ ๓ เสียงจากผูไรสิทธิชายแดนใต