Page 93 - รายงานสรุปโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ ชุมคน ชุมชน คนใต้ ครั้งที่ 3
P. 93

๙๒


                  นายนฤทธิ์ สรุปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชุมชนมี 2 ส่วนคือ กลุ่มผู้กระท า และกลุ่มผู้ถูกกระท า 2 กลุ่มนี้มีมุมมองต่างกัน เจ้าของ
                  ปัญหาคือ ชุมชนมีแนวคิดต้องการจัดการตนเอง โดยใช้พื้นที่และเครือข่าย รวมทั้งยอมรับความหลากหลายทั้งภาษา ศาสนา
                  และวัฒนธรรม ในการท างานร่วมกัน ทุกกลุ่มมองว่าวิถีชีวิตอิงอยู่กับฐานทรัพยากรทุกประเภทในภาคใต้ ในการด ารงชีวิตจึงต้อง

                  ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นหลัก


                  นายนฤทธิ์ กล่าวถึงปัญหาจากกลุ่มผู้กระท าว่า ส่งผลกระทบต่อเครือข่ายต่างๆ จากหลักคิดต้องการพัฒนาให้เป็นเอกภาพหนึ่ง
                  เดียว ก่อให้เกิดแรงต้าน เมื่อพูดแผนพัฒนาต่างๆ แนวคิดเรื่องความเจริญ ความทันสมัย ทุนไร้พรมแดนยังคงครอบง า และมีการ

                  ด าเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนความรู้สึกของผู้ถูกกระท า หรือการใช้อ านาจพิเศษจัดการกับผู้ขัดขวางความเจริญ ผู้ที่คิดต่าง การ
                  กีดกันการเข้าถึงความช่วยเหลือสนับสนุน ซึ่งเกิดจากมุมมองการพัฒนาที่ต่างกัน ส่งผลให้เกิดการกดดันชนกลุ่มน้อยที่ถูกมองว่า
                  เป็นผู้ขัดขวางความเจริญ โดยมองว่าไม่ใช่คนไทย มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่แยกแยะ



                  นายนฤทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีปัญหานโยบายจากส่วนกลางส่งตรงถึงพื้นที่ ปากบารา ทะเลสาบสงขลา ที่อยู่อาศัยของ
                  ชาวเล คนพลัดถิ่น พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการพัฒนาอุตสาหกรรม และปัญหาความอยุติธรรมในจังหวัดชายแดน
                  ภาคใต้ ขณะที่ผลกระทบจากภัยพิบัตินับเป็นอีกสาเหตุ ที่ท าให้ที่ดินท ากินและที่อยู่อาศัยหลุดมือไปจากชาวบ้านในชุมชน
                  นายทุนฉวยโอกาสออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินชาวบ้าน ขณะที่ปัญหาจาหภัยพิบัติโดยตรง เกิดจากไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้า ความ

                  ช่วยเหลือเข้าไปถึงพื้นที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง เล่นพรรคเล่นพวก


                  นายนฤทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ทั้งหมด ส่งผลให้ฐานทรัพยากรของคนใต้เสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรง ปัญหาที่พบคือ ใน 3
                  จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกจ ากัดพื้นที่ทางวัฒนธรรมรัฐไม่ยินยอมให้แสดงออก การถูกเบียดเบียนแหล่งท ากินของชาวเล ความ

                  ไม่เสมอภาคที่คนไทยพลัดถิ่นได้รับ น ามาสู่การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่ม จนถูกกล่าวหาเป็นพวกหัวรุนแรง


                  “จากความขัดแย้งแบ่งแยกที่ซับซ้อนมากขึ้น ท าให้ความเป็นอยู่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นอกจากความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับ
                  ชุมชนจะเกิดขึ้นแล้ว ยังเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเอกชน ความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับหน่วยงานของรัฐ ความขัดแย้ง

                  ระหว่างกลุ่มนักวิชาการที่ศึกษาโครงการขนาดใหญ่กับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ” นายนฤทธิ์ กล่าว


                  นายนฤทธิ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ของกลุ่มสตรีก็ซับซ้อนเช่นกัน โดยเฉพาะความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม ที่น ามาสู่การกดขี่
                  ผู้หญิง เช่น มีภรรยา 4 แล้วไม่เลี้ยงดู เมื่อมีปัญหาก็หย่าร้างกัน ส่งผลให้เกิดปัญหาการศึกษา เศรษฐกิจ การดูแลบุตร ครอบครัว

                  ที่ไม่มั่นคง ซึ่งมีผลกระทบต่ออนาคตของชาติ ขณะที่คุณภาพในการจัดการด้านการศึกษาด้อยลง ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ
                  ศึกษาลดลง เด็กถูกจัดการให้เหมือนกันทั่วประเทศ เด็กในโรงเรียนตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและความแตกแยก


                  นายนฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องทั้งหมดต้องการการพัฒนาแกนน า เพิ่มศักยภาพในการจัดการครอบครัวให้กับกลุ่มสตรี ต้องสร้าง

                  ความมั่นใจที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดและต่อสู้กับปัญหา ขณะที่รัฐใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือจัดการคน ชุมชนต้องใช้ความกลัวเป็น
                  โอกาสในการยืนหยัดต่อสู้กับปัญหา ต้องมีกระบวนการจัดการกลุ่มและเครือข่าย ทั้งด้านทุน การศึกษา สร้างความเข้มแข็ง และ
                  การรับมือภัยพิบัติ พร้อมกันไปกับการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิ์ ที่กระทบจากแผนพัฒนา จากการจัดการที่ดิน และการรุกเข้า
                  ของธุรกิจการท่องเที่ยว ที่กระทบต่อชาวเลโดยตรง







                         รายงานโครงการประชุมวิชาการระดับชาติ  ชุมคน ชุมชน คนใต฾  ครั้งที่ ๓ เสียงจากผู฾ไร฾สิทธิชายแดนใต฾
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98