Page 135 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 135
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
ต่อมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีประกาศฉบับที่ ๑๑/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
เรื่องการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งก�าหนดให้องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๕๐ ยัง
คงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในปัจจุบันจึงต้องเป็นไปตาม
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวข้างต้น อันเป็นเหตุให้อ�านาจหน้าที่ในการเสนอเรื่องและความเห็นต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง และการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายตามข้อ (๒) (๓) และ (๔) สิ้นสุดลงตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วย
ดังนั้น ในปัจจุบัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีอ�านาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๕ ของพระราช
บัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งตามมาตรา ๒๒ ของพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติไว้ว่าใน
การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอ�านาจตรวจสอบและเสนอมาตรการ
การแก้ไขกรณีที่มีการกระท�าหรือการละเลยการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ ต่อเมื่อมิใช่เป็นประเด็นเดียว
กับเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือที่ศาลพิพากษาหรือมีค�าสั่งเด็ดขาดแล้ว
๕.๒.๑.๒ เรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
ในแต่ละปี คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนราว ๖๐๐ – ๗๐๐ เรื่อง
ส�าหรับการรับเรื่องร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนเฉพาะที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนั้น พบตัวอย่างกรณีที่มีการร้องเรียน
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖ – พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยจ�าแนกเป็นประเภทของเรื่องร้องเรียนได้ ดังนี้
ละเมิดสิทธิชุมชน
ละเมิดสิทธิในการจัดการ/ใช้ที่ดิน
ละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน
ละเมิดสิทธิในที่อยู่อาศัย
ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
ละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
ละเมิดสิทธิในข้อมูลข่าวสาร
134