Page 15 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 15
3
กล่าวถึงความเกี่ยวข้องในการจัดการน้้าในชุมชนโดยจารีตปฏิบัติเดิม จะปรากฏเห็น
ประชาชนและชุมชนมีสิทธิในน้้าในฐานะที่เป็นสิทธิชุมชนอยู่แล้ว และประชาชนพลเมืองมีสิทธิในการ
ร่วมก้าหนดกติกาและกฎเกณฑ์การใช้น้้าของชุมชนของตนเองได้ ขณะเดียวกันภาครัฐมีบทบาทหน้าที่
ในการสนับสนุนให้สามารถด้าเนินการไปตามหลักการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการเข้าถึง
สิทธิในน้้าและการบริหารจัดการน้้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเกิดสภาวะวิกฤตใน
ทรัพยากรน้้าของประเทศไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักจะใช้กระบวนการสันติวิธี (Peaceful Mean)
ด้วยวิธีการพูดคุย การประชุม การปรึกษาหารือหาทางออกร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในการจัดการน้้าใน
พื้นที่ของตน (ปราโมทย์ ไม้กลัด, 2557)
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรน้้าและสิทธิในการบริหาร
จัดการน้้าของประเทศไทยเพื่อลดความขัดแย้งในสภาวะวิกฤต เป็นประเด็นที่ภาครัฐและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอ้านาจหน้าที่ตามกฎหมายในการเสนอแนะ
นโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อ
ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งการด้าเนินงานดังกล่าวจ้าเป็นต้องใช้แนวทางสันติวิธีเป็น
พื้นฐาน ดังนั้น คณะวิจัยจึงเห็นควรและเสนอการศึกษาด้านสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรน้้าโดยใช้
แนวทางสันติวิธี โดยการศึกษากรณีพื้นที่ต้นน้้าของประเทศไทยในภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นแนวทางในการลดปัญหาความขัดแย้งและการเข้าถึงสิทธิใน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย
1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการน้้าด้วยแนวทางสันติวิธีในพื้นที่ต้นน้้าของ
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2. เพื่อวิเคราะห์ช่องว่างสิทธิชุมชนในการเข้าถึงและสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าที่
เกิดขึ้นในปัจจุบัน
3. เพื่อจัดท้าข้อเสนอแนะนโยบายหรือมาตรการเชิงประจักษ์ (evidence-based) ให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องน้าไปใช้ให้เกิดการยกระดับสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะด้านทรัพยากรน้้า