Page 203 - กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
P. 203
ข้อ ๑๒ การจัดระเบียบวาระการประชุมให้จัดล าดับ ดังนี้ (๓) เป็นญาติของคู่กรณี คือ เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ หรือเป็นพี่น้องหรือ
(๑) เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น
(๒) เรื่องรับรองรายงานการประชุม (๔) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ หรือผู้แทนหรือตัวแทน
(๓) เรื่องเพื่อทราบ ของคู่กรณี
(๔) เรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน (๕) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของคู่กรณี
(๕) เรื่องเพื่อพิจารณา (๖) กรณีอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
(๖) เรื่องอื่นๆ ข้อ ๑๗ ในกรณีที่มีผู้คัดค้านว่ากรรมการผู้ใดมีลักษณะตามข้อ ๑๖ วรรคสี่ ให้มีการเรียกประชุม
ในกรณีที่ประธานกรรมการเห็นสมควร จะจัดล าดับระเบียบวาระการประชุมให้แตกต่างจาก คณะกรรมการเพื่อพิจารณาเหตุคัดค้านนั้น และเมื่อกรรมการผู้ถูกคัดค้านได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและ
ที่ก าหนดในวรรคหนึ่งก็ได้
ตอบข้อซักถามแล้วให้ออกจากห้องประชุม โดยให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่
ข้อ ๑๓ ให้เลขาธิการส่งระเบียบวาระการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกับหนังสือ ถ้าที่ประชุมมีมติให้กรรมการผู้ถูกคัดค้านปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
นัดประชุม เว้นแต่กรณีมีเหตุจ าเป็นอาจส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้ในภายหลังก็ได้ ของกรรมการที่เหลืออยู่ ก็ให้กรรมการผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ มติดังกล่าวให้กระท าโดยวิธีลงคะแนนลับ
ในกรณีที่มีระเบียบวาระการประชุมหรือเอกสารเพิ่มเติม ให้เลขาธิการส่งระเบียบวาระการประชุม และให้เป็นที่สุด
หรือเอกสารดังกล่าวให้แก่กรรมการโดยเร็ว การคัดค้าน ให้ท าเป็นหนังสือพร้อมแสดงหลักฐานยื่นต่อประธานกรรมการ
ข้อ ๑๔ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับกับคณะอนุกรรมการหรือคณะท างานที่คณะกรรมการแต่งตั้ง ข้อ ๑๘ เมื่อที่ประชุมได้ลงมติไปแล้ว หากปรากฏภายหลังว่ากรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสีย
โดยอนุโลม ตามข้อ ๑๖ วรรคสี่ มติที่ประชุมย่อมไม่เสียไปเพราะเหตุดังกล่าว เว้นแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
ด าเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเสียใหม่ก็ได้
หมวด ๒
การประชุม ข้อ ๑๙ ความในข้อ ๑๖ วรรคสาม และข้อ ๑๗ ไม่ให้น ามาใช้บังคับแก่กรณีที่มีความจ าเป็น
เร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ
ข้อ ๑๕ การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจ านวน
กรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม ในกรณีที่กรรมการคนใดไม่อาจมาประชุมได้ ให้จดแจ้ง ข้อ ๒๐ ถ้าประธานในที่ประชุมหรือกรรมการเสียงข้างมากที่มาประชุม เสนอให้ประชุมลับ
เหตุนั้นไว้ในรายงานการประชุม ก็ให้ด าเนินการประชุมลับ
ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมลับได้ ได้แก่ กรรมการ เลขาธิการ และผู้ที่ได้รับอนุญาตจากที่ประชุม
ในกรณีเรื่องใดเป็นเรื่องที่มีความส าคัญสมควรพิจารณาหรือวินิจฉัยชี้ขาดโดยกรรมการทุกคน
ที่มีอยู่ คณะกรรมการอาจก าหนดให้กรรมการทุกคนที่มีอยู่เป็นองค์ประชุมเพื่อพิจารณาหรือวินิจฉัยชี้ขาด ข้อ ๒๑ ในการประชุม ให้ด าเนินการประชุมตามล าดับระเบียบวาระการประชุมที่จัดไว้ เว้นแต่
ในเรื่องนั้นได้ ที่ประชุมจะมีมติเป็นอย่างอื่น
การไม่เข้าประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุมของกรรมการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ เรื่องที่จัดตามระเบียบวาระการประชุมแล้ว กรรมการหรือส านักงานจะถอนเรื่องออกจากวาระ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๓ วรรคสาม การประชุมได้ต่อเมื่อที่ประชุมมีมติอนุญาตและให้บันทึกเหตุผลไว้ในรายงานการประชุมด้วย
ในกรณีมีเรื่องเร่งด่วนใดนอกเหนือจากที่จัดไว้ในระเบียบวาระการประชุม ที่ประชุมอาจมีมติ
ข้อ ๑๖ ในการประชุม ผู้ที่เข้าร่วมประชุมได้ นอกจากเลขาธิการ ผู้ช่วยเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ ให้น าเรื่องเร่งด่วนนั้นมาพิจารณาเพิ่มเติมได้ โดยให้บันทึกความเห็นไว้ในรายงานการประชุมด้วย
ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องที่เสนอที่ประชุมแล้ว ให้เป็นไปตามที่ประธานในที่ประชุมอนุญาต เว้นแต่
ที่ประชุมมีมติก าหนดเป็นอย่างอื่น ข้อ ๒๒ ในระหว่างการประชุม ห้ามมิให้ผู้ใดบันทึกเสียงหรือภาพ หรือเผยแพร่ข้อมูล
ให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมทุกคนลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในการประชุมทุกครั้ง ในการประชุมด้วยเครื่องมือใดๆ เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการจัดท ารายงานการประชุม หรือเพื่อประโยชน์
ในกรณีมีการพิจารณาเรื่องที่กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสีย ให้กรรมการผู้นั้นออกจากที่ประชุม ของทางราชการ โดยได้รับอนุญาตจากที่ประชุม
เป็นการชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาและมีมติเรื่องนั้น ในกรณีมีการบันทึกเสียงหรือภาพเพื่อประโยชน์ในการจัดท ารายงานการประชุมให้เก็บรักษา
การมีส่วนได้เสียของกรรมการในเรื่องที่มีการพิจารณาตามวรรคสาม ได้แก่ ข้อมูลเสียงหรือภาพที่บันทึกไว้จนกว่าที่ประชุมได้พิจารณารับรองรายงานการประชุมครั้งนั้นแล้ว
(๑) เป็นคู่กรณีหรือเกี่ยวข้องโดยตรง จึงจะท าลายหรือลบข้อมูลเสียงหรือภาพดังกล่าวได้
(๒) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรสของคู่กรณี
194
