Page 170 - สมเด็จพระราชินีนาถกับงานสิทธิมนุษยชน
P. 170
สำาหรับหลักสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ได้มีการ
จัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิด
ความร่วมมือของกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมสิทธิมนุษยชน และเพื่อเป็นเวทีสำาหรับการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาท
ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ลำาดับที่ ๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๘๙ ต่อมาที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ สมัยที่ ๓ ได้มีข้อมติรับรองปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๙๑ (ค.ศ. ๑๙๔๘) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนดังกล่าวถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์
ในการวางรากฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับแรกของโลกและเป็นพื้นฐานของกฎหมาย
ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศสมาชิก
สหประชาชาติได้ร่วมกันจัดทำาเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั่วโลก ปัจจุบัน
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนหลักขององค์การสหประชาชาติ จำานวน
๗ ฉบับ จากทั้งหมด ๙ ฉบับ จึงมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาดังกล่าว ดังนี้
๑. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on
the Elimination of All Forms of Discrimination against Women : CEDAW)
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฉบับนี้ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ และ
มีผลใช้บังคับต่อประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นต้นไป
170 ส ม เ ด็ จ พ ร ะ บ ร ม ร า ชิ นี น า ถ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น

