Page 20 - สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำคุกถูกจำกัดสิทธิในการเข้ารับราชการ
P. 20

ถึงที่สุดให้จำาคุก เว้นแต่เป็นโทษสำาหรับความผิดที่ได้กระทำาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
                    แต่มาตรา ๓๗ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ ได้บัญญัติข้อยกเว้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีลักษณะ

                    ต้องห้ามตามข้อ ข. (๗) ได้รับการพิจารณายกเว้นคุณสมบัติต้องห้ามดังกล่าวได้  ฉะนั้น ในกรณีของ
                    ผู้ร้องแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ผู้ร้องเคยได้รับโทษจำาคุกโดยคำาพิพากษาถึงที่สุดให้จำาคุก ซึ่งเป็น

                    ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๗ ข้อ ข. (๗)  แต่ผู้ร้องยังอาจได้รับการพิจารณาให้เข้ารับราชการเป็น
                    ข้าราชการรัฐสภาได้ ตามความในมาตรา ๓๗ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ กล่าวคือ คณะกรรมการ

                    ข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้  โดยต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า
                    สี่ในห้าของจำานวนกรรมการที่มาประชุม  ซึ่งข้อยกเว้นดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.ร. กำาหนด

                    และ ก.ร. จะยกเว้นเป็นการเฉพาะรายหรือจะประกาศยกเว้นเป็นการทั่วไปก็ได้  คณะอนุกรรมการฯ
                    จึงเห็นว่า ผู้ร้องยังไม่ถูกกระทบสิทธิในเรื่องการไม่สามารถเข้ารับราชการเป็นข้าราชการรัฐสภา เพราะ

                    เคยต้องคำาพิพากษาถึงที่สุดให้จำาคุก ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา
                    พ.ศ. ๒๕๕๔

                              อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ร้องโทรศัพท์สอบถามไปยังรัฐสภา และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า
                    ผู้ร้องไม่มีสิทธิสอบและหากสอบได้คะแนนเต็มก็ไม่มีทางได้เข้ารับราชการ ซึ่งการให้คำาตอบในลักษณะ

                    ดังกล่าว ทำาให้ผู้ร้องเสียสิทธิในการสมัครสอบเข้ารับราชการ เจ้าหน้าที่ควรมีการแนะนำาหลักเกณฑ์
                    และวิธีการเกี่ยวกับข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔  เพื่อให้ผู้ร้อง

                    ทราบถึงสิทธิของตน และเป็นข้อมูลให้กับผู้ร้องเพื่อประกอบการพิจารณาในการสมัครเข้ารับราชการ
                    เป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญ

                              ดังนั้น กรณีของผู้ร้อง หากผู้ร้องมีความต้องการที่จะสอบเข้ารับราชการเพื่อเป็นข้าราชการ
                    รัฐสภาสามัญ ผู้ร้องสามารถยื่นเรื่องเพื่อขอให้คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) พิจารณา

                    ยกเว้นให้เข้ารับราชการได้โดยยื่นคำาขอตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ ก.ร. กำาหนดไว้ในระเบียบฯ
                    คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรแจ้งผู้ร้องให้ทราบสิทธิและแนวทางการดำาเนินการในเรื่องดังกล่าว


                              อนึ่ง จากการศึกษาเปรียบเทียบหลักเกณฑ์การกำาหนดลักษณะต้องห้ามการเข้ารับราชการ
                    ตามพระราชบัญญัติฉบับต่างๆ หรือผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง หรือกรรมการขององค์กรตาม

                    รัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เห็นว่า สามารถจำาแนก
                    หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้เป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้

                              ๑)  กลุ่มองค์กรที่ใช้พระร�ชบัญญัติหรือระเบียบที่กำ�หนดให้ก�รต้องคำ�พิพ�กษ�ถึงที่สุด
                    ให้จำ�คุก  เป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้�มในก�รเข้�รับร�ชก�ร  โดยไม่มีก�รกำ�หนดข้อยกเว้น

                    ให้มีก�รใช้ดุลพินิจยกเว้นลักษณะต้องห้�มได้ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนใน

                    สถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗  พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕  ระเบียบ
                    กระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการบรรจุ การโอน และการบรรจุกลับเข้ารับราชการ พ.ศ. ๒๕๒๙ เป็นต้น
                    ซึ่งกลุ่มองค์กรที่ใช้พระราชบัญญัติหรือระเบียบที่ไม่มีการกำาหนดข้อยกเว้นฯ ให้กับผู้ที่จะเข้ารับราชการ

                    ซึ่งเป็นผู้เคยได้รับโทษจำาคุกโดยคำาพิพากษาถึงที่สุดให้จำาคุก เว้นแต่เป็นโทษสำาหรับความผิดที่ได้กระทำา



                                                                                                          19

                                                         สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กรณีผู้ที่เคยรับโทษให้จำาคุกถูกจำากัดสิทธิในการเข้ารับราชการ
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25