Page 97 - พระมหากษัตริย์กับงานสิทธิมนุษยชน
P. 97

“อย่างข้าวที่ปลูก เคยสนับสนุนให้ปลูกข้าวให้พอเพียงกับตัวเอง แต่ละ

                      ครอบครัวเก็บเอาไว้ในยุ้งเล็กๆ แล้ว ถ้ามีพอก็ขาย”
                             “เลยได้สนับสนุนบอกว่าให้เขาปลูกข้าวบริโภค เขาจะชอบข้าวเหนียวก็ปลูก

                      ข้าวเหนียว เขาจะชอบปลูกข้าวอะไรก็ตาม ให้เขาปลูกข้าวอย่างนั้น และเก็บไว้เพื่อ
                      ที่จะบริโภคตลอดปี ถ้ามีที่ที่จะทำานาปรัง หรือมีที่มากพอสำาหรับปลูกข้าว ก็ปลูกข้าว
                      หอมมะลิเพื่อที่จะขาย”

                                            (พระราชดำารัสเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐)

                      การทำาเกษตรกรรมต้องมีนำ้า เป็นทรัพยากรหลักให้เกษตรกรรมเจริญงอกงาม พระองค์
               มีพระราชดำารัสว่า “ไม่มีทางที่จะมีความเจริญได้ ถ้าไม่มีนำ้า” เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖


                      ดังนั้น ปัญหาความขาดแคลนนำ้าจึงมีผลต่อการเพาะปลูกของเกษตรกรมาก พระองค์ทรงใช้
               เวลาหลายปีที่ทำาการวิจัยและทดลอง เพื่อหาแนวทางการทำาการเกษตรแบบยั่งยืน พุทธศักราช ๒๕๓๕

               พระองค์ทรงริเริ่มพัฒนาวิธีการเพาะปลูกแบบผสมผสานและยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยนำ้าในปริมาณที่พอเพียง
               โดยเฉพาะการทดลองที่ตำาบลเขาวง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น พระองค์มีพระราชดำารัสว่า


                              “วิธีแก้ไขคือต้องเก็บนำ้าฝนที่ลงมา ก็เกิดความคิดอยากทดลองดูสัก ๑๐ ไร่
                      ในที่อย่างนั้น ๓ ไร่ จะทำาเป็นบ่อนำ้า คือ เก็บนำ้าฝน แล้วถ้าจะต้องใช้บุด้วยพลาสติก

                      ก็บุด้วยพลาสติก ทดลองดูแล้วอีก ๖ ไร่ ทำาเป็นที่นา ส่วนไร่ที่เหลือนั้นก็เป็นที่บริการ
                      หมายถึง ทางเดิน หรือเป็นกระต๊อบหรืออะไรก็แล้วแต่ หมายความว่านำ้า ๓๐ เปอร์เซ็นต์
                      ที่ทำานา ๖๐ เปอร์เซ็นต์”

                                            (พระราชดำารัสเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕)

                                                  พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น  97
   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101   102