Page 94 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 94

๗๙


                   มนุษยชน และข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ

                   ขั้นพื้นฐาน ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้อมูลดังกล่าวย่อมเกี่ยวด้วยสิทธิในความเป็นอยู่
                   ส่วนตัวในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของบุตรที่เสียชีวิตนั้นนั่นเอง

                                             ในบริบทของกฎหมายของประเทศไทย ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของ

                   บุคคลย่อมอยู่ในขอบเขตแห่งสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวซึ่งได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติ มาตรา ๔
                   และมาตรา ๓๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ในอันที่บุคคลใดจะล่วง

                   ละเมิดโดยมิชอบด้วยกฎหมายมิได้ โดยนัยดังกล่าว สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมตกอยู่ในความหมาย
                   ของค่าว่า “สิทธิมนุษยชน” ตามนัยที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิ

                   มนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
                                             อย่างไรก็ตาม มีประเด็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าข้อมูล

                   เวชระเบียนผู้ป่วยเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ป่วยหรือเป็นของโรงพยาบาล ต่อประเด็นปัญหานี้ บุคลากร

                   ทางการแพทย์ระดับสูงหลายท่าน ได้ออกมาให้ความเห็นว่า “ข้อมูลเวชระเบียนเป็นบันทึกของแพทย์
                   เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วย มีจุดประสงค์ส าหรับแพทย์ใช้เองและเป็นสมบัติส่วนตัวของแพทย์ผู้นั้น

                   แต่ถ้าผู้ป่วยร้องขอ แพทย์ควรให้บทสรุปซึ่งรวมประวัติผลการตรวจร่างกาย ผลทางห้องปฏิบัติการ

                   การด าเนินโรคและยาที่ให้ เพื่อให้แพทย์ที่จะดูแลผู้ป่วยต่อไปรับทราบ การรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ
                   การรักษาเฉพาะผู้ป่วยเป็นไปตามประกาศสิทธิผู้ป่วยซึ่งไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นข้อตกลงของสภาวิชาชีพ

                   ซึ่งมีแพทยสภาเป็นแกนน าเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก”

                                             แต่อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของนักวิชาการกฎหมาย สถานะของข้อมูล
                   เวชระเบียนนั้น มีสถานะเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเวชระเบียนนั้น

                                             ต่อประเด็นปัญหาดังกล่าว ศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีหนึ่งซึ่ง
                   ผู้ป่วยได้ขอตรวจและคัดส่าเนาเวชระเบียนจากโรงพยาบาลเกี่ยวกับข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาและ

                   รายชื่อของแพทย์ผู้ท่าการรักษา แต่โรงพยาบาลมีหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถด่าเนินการให้ได้เนื่องจาก

                   เอกสารสูญหายไปโดยแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว ผู้ป่วยจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางในประเด็น
                   การกระท่าของเจ้าหน้าที่ของรัฐท่าให้ผู้ป่วยไม่ได้รับรู้ข้อมูลในเวชระเบียนของผู้ป่วย อันถือเป็นการ

                   กระท่าละเมิดในทางปกครอง ซึ่งศาลปกครองกลางได้พิจารณาแล้วมีค่าวินิจฉัยว่า “โรงพยาบาลซึ่งเป็น
                   หน่วยงานของรัฐ นอกจากเอกสารเวชระเบียนจะเป็นเอกสารที่โรงพยาบาลจัดท าขึ้นและอยู่ใน

                   ความครอบครองหรือควบคุมดูแลเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลในการวินิจฉัย

                   และรักษาผู้ป่วยต่อไป หรือใช้เพื่อการศึกษาวิจัยแล้ว เวชระเบียนยังเป็นเอกสารที่ได้บันทึกข้อมูล
                   เกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของผู้ป่วยเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ จึงเป็นข้อมูลข่าวสารราชการในลักษณะ

                   ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลส าหรับผู้ป่วย และถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองและคุ้มครอง

                   ตามรัฐธรรมนูญ การที่โรงพยาบาลได้แจ้งความว่าเอกสารเวชระเบียนสูญหาย แต่ในทางคดีไม่ปรากฏ



                          ๘๘
                             ค่าสัมภาษณ์ของเลขาธิการแพทยสภา, วารสาร Medical news, กันยายน ๒๕๔๘
   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98   99