Page 118 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 118

๑๐๓


                                                                                          ๑๐๐
                                                  ๙๙
                   ร่างกาย โดยนัยดังกล่าว ผู้ต้องหา  ย่อมต้องได้รับความคุ้มครองตามข้อ ๑๑  และข้อ ๑๒
                   แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการ
                   คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

                                             โดยนัยดังกล่าว การแสดงตัวของผู้ต้องหาให้ปรากฏต่อสาธารณชน

                   หรือการน่าภาพของตนเองไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ย่อมเป็นสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวซึ่งได้รับ
                                                                                      ๑๐๑
                   ความคุ้มครองตามบทบัญญัติมาตรา ๔ และมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๙  ของรัฐธรรมนูญ
                   แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ในอันที่บุคคลใดจะล่วงละเมิดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
                   มิได้ โดยนัยดังกล่าว สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมตกอยู่ในความหมายของค่าว่า “สิทธิมนุษยชน”

                   ตามนัยที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
                                             ประเด็นที่สอง การที่เจ้าหน้าที่ต่ารวจน่าตัวผู้ต้องหาในคดีอาญา

                   ไปท่าแผนประกอบค่ารับสารภาพ หรือเจ้าหน้าที่ต่ารวจเผยแพร่ภาพถ่ายของผู้ต้องหาในคดีอาญาไปตาม

                   สื่อต่างๆ เป็นการแทรกแซงสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของผู้ต้องหา อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
                   ของผู้ต้องขังหรือบุคคลนั้นหรือไม่

                                             เมื่อการแสดงตัวของบุคคลให้ปรากฏต่อสาธารณชน หรือการน่าภาพ

                   ของตนเองไปเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ เป็นสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวเกี่ยวกับสิทธิในเนื้อตัวร่างกายซึ่ง
                   ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย จึงก่อให้เกิดหน้าที่หรือความผูกพันต่อบุคคลอื่นที่จะต้องเคารพต่อสิทธิ

                   ดังกล่าวโดยไม่กระท่าการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานนั้นโดยมิได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งของ

                   ผู้ต้องหาแต่อย่างใด โดยนัยดังกล่าว การที่เจ้าหน้าที่ต่ารวจน่าตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปท่าแผนประกอบ
                   ค่ารับสารภาพ หรือเจ้าหน้าที่ต่ารวจเผยแพร่ภาพถ่ายของผู้ต้องหาในคดีอาญาไปตามสื่อต่างๆ

                   เป็นการแทรกแซงสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของผู้ต้องหา อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา
                                             อนึ่ง นอกจากผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ถูกบันทึกภาพโดยที่ตนมิได้ยินยอม

                   ด้วยแล้ว จ่าเลยในคดีอาญาก็มีกฎหมายคุ้มครองที่จะไม่ถูกบันทึกภาพในระหว่างการด่าเนินกระบวน

                   พิจารณาคดีของศาลหรือในระหว่างถูกจองจ่าในเรือนจ่า  โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้








                          ๙๙   มาตรา ๒  ) ๒( ป. วิ. อาญา บัญญัติว่า ““ผู้ต้องหา” หมายความถึงบุคลที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระท่าความผิด
                   แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล”
                          ๑๐๐
                              ข้อ ๑๑ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ก่าหนดว่า “(๑) บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาด้วยความผิดทางอาญา
                   มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาโดย
                   เปิดเผย ณ ที่ซึ่งตนได้รับหลักประกันทั้งหมดที่จ าเป็นในการต่อสู้คดี”
                          ๑๐๑
                              มาตรา ๓๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติว่า “ในคดีอาญา ต้อง
                   สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจ าเลยไม่มีความผิด ก่อนมีค าพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระท าความผิด
                   จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระท าความผิดมิได้”
   113   114   115   116   117   118   119   120   121   122   123