Page 69 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 69

67
                                                   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                                                   ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                     ขอชุมนุม (มาตรา ๑๔) การประกาศให้พื้นที่บริเวณที่มีการชุมนุมสาธารณะเป็นพื้นที่ควบคุม (มาตรา

                     ๑๖ วรรคหนึ่ง)  คำาสั่งให้ปิดการจราจร (มาตรา ๒๐) เป็นต้น  และโดยที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๒๓
                     บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำานาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน

                     ซึ่งแตกต่างจากหลักการพิจารณาคดีของศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีหลักการและฐานคิดว่า คู่กรณี
                     ทั้งสองฝ่ายที่เป็นเอกชนกับเอกชนมีความเท่าเทียมกัน  ดังนั้น เรื่องที่พิพาทกันในทางปกครองระหว่าง

                     ประชาชนผู้ชุมนุมเช่นนี้ จึงควรได้รับการพิจารณาพิพากษาในศาลปกครอง
                                          ประการสำาคัญ ข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการชุมนุมอาจเกิดขึ้นได้ทั้ง

                     ข้อพิพาทในทางปกครอง ทางแพ่ง และทางอาญา  บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดๆ จึงไม่ควรบัญญัติให้
                     เหตุที่เกิดขึ้นทุกลักษณะแห่งคดีต้องอยู่ภายใต้เขตอำานาจของศาลใดศาลหนึ่งโดยเฉพาะ ควรบัญญัติ

                     ให้ข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลตามลักษณะแห่งคดีนั้นๆ

                                     ๒.๒  การบัญญัติให้อำานาจศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำานาจเหนือสถานที่
                     ที่มีการชุมนุม เป็นผู้ออกคำาสั่งให้เลิกการชุมนุม และจำากัดอำานาจพิจารณาวินิจฉัยว่า  หากการชุมนุม
                     สาธารณะนั้นเป็นการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา ๑๕) หรือผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม

                     มาตรา ๘ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ แล้วแต่กรณี  ศาลต้องออกคำาบังคับให้

                     ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุมสาธารณะหรือยุติการกระทำาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ศาลกำาหนดระยะ
                     เวลาในคำาบังคับไว้ด้วย (มาตรา ๒๕)
                                            ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยมีการแบ่งแยกการใช้อำานาจ

                     อธิปไตยออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่  ๑) อำานาจนิติบัญญัติ คือ อำานาจในการวางระเบียบ กฎเกณฑ์

                     กฎหมาย เพื่อใช้บังคับภายในประเทศ  ๒) อำานาจบริหาร คือ อำานาจในการใช้หรือบังคับการให้เป็น
                     ไปตามกฎหมาย  และ ๓) อำานาจตุลาการ คือ อำานาจในการพิจารณาวินิจฉัยอรรถคดีอันเป็นพื้นฐาน
                     ของหลักนิติรัฐ

                                          คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีความเห็นว่า  หากการชุมนุม

                     สาธารณะใดเป็นการชุมนุมที่หัวหน้าสถานีตำารวจในฐานะฝ่ายปกครองอาจสั่งห้ามการชุมนุม หรือ
                     สั่งให้เลิกการชุมนุมนั้นเสียได้  ซึ่งขั้นตอน กระบวนการ และการสั่งห้ามหรือสั่งให้เลิกการชุมนุม
                     สาธารณะนี้ถือว่าเป็นการดำาเนินการทางปกครอง ตามหลักการแบ่งแยกอำานาจ การดำาเนินการทาง

                     ปกครอง เป็นอำานาจของฝ่ายปกครองมิใช่ฝ่ายตุลาการ  ดังนั้น การที่ร่างกฎหมายฉบับนี้บัญญัติให้

                     ศาลซึ่งเป็นผู้ใช้อำานาจอธิปไตยทางตุลาการ เป็นผู้พิจารณาออกคำาสั่งห้ามหรือสั่งให้เลิกการชุมนุม
                     สาธารณะภายหลังจากคำาสั่งของหัวหน้าสถานีตำารวจ โดยร่างพระราชบัญญัติมิได้เปิดโอกาสให้ผู้รับ
                     คำาสั่งมีสิทธิอุทธรณ์ในฝ่ายปกครองก่อน  แต่ให้ศาลทำาหน้าที่เสมือนผู้พิจารณาอุทธรณ์คำาสั่งหัวหน้า

                     สถานีตำารวจ จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำานาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายบริหารและ

                     ฝ่ายตุลาการ
                                          นอกจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำานาจดังได้
   64   65   66   67   68   69   70   71   72   73   74